1.เครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบต่างๆและข้อมูลที่มีอยู่ในเครือข่าย
1.อินทราเน็ต
อินทราเน็ต (intranet) เวลาที่มีการเชื่อมต่ออินทราเน็ตเข้ากับอินเทอร์เน็ต มักมีการติดตั้งไฟร์วอลล์สำหรับควบคุมการผ่านเข้าออกของข้อมูล ผู้ดูแลด้านความปลอดภัยในองค์กร สามารถควบคุมและจำกัดการใช้งานอินเทอร์เน็ตบางประเภท เช่น ไม่ให้เข้าไปยังเว็บไซต์ลามก หรือตรวจสอบว่าผู้ใช้รายไหนพยายามเข้าไปเว็บดังกล่าว เป็นต้น นอกเหนือจากนี้ ไฟล์วอลยังป้องกันไม่ให้บุคคลภายนอกจากอินเทอร์เน็ตเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ภายในองค์กร นอกเหนือไปจากเซิร์ฟเวอร์สำหรับให้บริการซึ่งผู้บริหารเครือข่ายได้กำหนดไว้
การประยุกต์ใช้
การประยุกต์ใช้อินทราเน็ตในปัจจุบันได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับการทำงานที่หลากหลาย อาทิเช่น การจัดการเอกสารข้อมูล, การตีพิมพ์และกระจายข่าวสาร, การจองห้องและอุปกรณ์,ห้องสนทนาออนไลน์ (chat room), เว็บบอร์ด (web board), อัลบั้มรูป, การจัดการสมุดรายชื่อและข้อมูลการติดต่อ และอื่น ๆ อีกมากมาย
2.เอกซ์ทราเน็ต
เอ็กซ์ทราเน็ต คือ ระบบเครือข่ายซึ่งเชื่อมเครือข่ายของอินทราเน็ตเข้ากับระบบคอมพิวเตอร์ภายนอก หรือเชื่อมอินทราเน็ตกับอินทราเน็ตอีกที่หนึ่งเข้าด้วยกัน ลักษณะการทำงานจะเหมือนกันอินทราเน็ตแต่ว่าเชื่อมแต่ละที่ให้เข้าหากัน เพื่อจุดประสงค์การทำงานที่เพิ่มขึ้น เช่นการดูแลจัดการสำนักงานของบริษัทแต่ละสาขาเข้าด้วยกัน เป็นต้น โดยการเชื่อมต่อมักจะปิดกั้นเฉพาะภายใน แต่อาจมีการเปิดให้ผู้ใช้งานภายนอกเข้ามาใช้งานหรือแบ่งระดับการเข้าใช้ข้อมูลได้เช่นกัน
3.อินเทอร์เน็ต
อินเทอร์เน็ต(Internet) คือ เครือข่ายนานาชาติ ที่เกิดจากเครือข่ายขนาดเล็กมากมาย รวมเป็นเครือข่ายเดียวทั้งโลก หรือเครือข่ายสื่อสาร ซึ่งเชื่อมโยงระหว่างคอมพิวเตอร์ทั้งหมด ที่ต้องการเข้ามาในเครือข่าย สำหรับคำว่า internet หากแยกศัพท์จะได้มา 2 คำ คือ คำว่า Inter และคำว่า net ซึ่ง Inter หมายถึงระหว่าง หรือท่ามกลาง และคำว่า Net มาจากคำว่า Network หรือเครือข่าย เมื่อนำความหมายของทั้ง 2 คำมารวมกัน จึงแปลว่า การเชื่อมต่อกันระหว่างเครือข่าย
บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศ
เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา หมายถึง การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
กับงานด้านการศึกษา อันได้แก่ การจัดเก็บข้อมูล และประมวลผลฐานข้อมูล การพัฒนา
ระบบสารสนเทศช่วยการเรียนการสอน การวางแผนและการบริหารการศึกษา การวางแผน
หลักสูตร การแนะแนวและบริการ การทดสอบวัดผล การพัฒนาบุคลากร
เทคโนโลยีสารสนเทศซึ่งเป็นที่นิยมประยุกต์ใช้ในปัจจุบัน
1. ระบบสารสนเทศช่วยในการเรียนการสอน
2. การสอนทางไกลผ่านดาวเทียม
3. การประชุมทางไกลระบบจอภาพ
4. ระบบฐานข้อมูลการศึกษา
5. ระบบสารสนเทศเอกสาร
เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา หมายถึง การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
กับงานด้านการศึกษา อันได้แก่ การจัดเก็บข้อมูล และประมวลผลฐานข้อมูล การพัฒนา
ระบบสารสนเทศช่วยการเรียนการสอน การวางแผนและการบริหารการศึกษา การวางแผน
หลักสูตร การแนะแนวและบริการ การทดสอบวัดผล การพัฒนาบุคลากร
เทคโนโลยีสารสนเทศซึ่งเป็นที่นิยมประยุกต์ใช้ในปัจจุบัน
1. ระบบสารสนเทศช่วยในการเรียนการสอน
2. การสอนทางไกลผ่านดาวเทียม
3. การประชุมทางไกลระบบจอภาพ
4. ระบบฐานข้อมูลการศึกษา
5. ระบบสารสนเทศเอกสาร
ความสำคัญของเทคโนโลยีกับการพัฒนาการศึกษา
ในปัจจุบัน ICT(Information and Communication Technology)
จึงมีผลต่อระบบการศึกษาโดยตรง
ICTเกี่ยวข้องโดยตรงกับการรวบรวบข้อมูล ข่าวสาร ความรอบรู้ จัดระบบ ประมวลผล ส่งผ่านและสื่อสาร
ด้วยความเร็วสูง และปริมาณมาก นำเสนอและแสดงผลด้วยระบบสื่อต่าง ๆ ทั้งทางด้านข้อมูล รูปภาพ เสียง
และวิดีโอ อีกทั้งยังสามารถสร้างระบบการมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบ ทำให้การเรียนรู้ในยุคใหม่ประสบผลสำเร็จด้วยดี
เทคโนโลยีสารสนเทศที่ประยุกต์ใช้ในการพัฒนาศึกษา
-การเรียนรู้แบบออนไลน์หรือ E-learning
-บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction - CAI)
-วีดิทัศน์ตามอัธยาศัย (Video on Demand - VOD)
-หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-books )
-ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ (E-library)
การสืบค้นข้อมูล
การสืบค้นข้อมูล (Search Engine) ปัจจุบันได้มีการกล่าวถึงระบบการสืบค้นข้อมูลกันมาก แม้แต่ในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ก็มีการประยุกต์ใช้ไฮเปอร์เท็กซ์ในการสืบค้นข้อมูล จนมีโปรโตคอลชนิดพิเศษที่ใช้กัน คือ World Wide Web หรือเรียกว่า www. โดยผู้ใช้สามารถเรียกใช้โปรโตคอล http เพื่อเชื่อมโยงเข้าสู่ระบบไฮเปอร์เท็กซ์ ซึ่งเป็นฐานข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ไฮเปอร์เท็กซ์มีลักษณะเป็นแบบมัลติมีเดีย เพราะสามารถสร้างเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ที่เก็บได้ทั้งภาพ เสียง และตัวอักษร มีระบบการเรียกค้นที่มีประสิทธิภาพ โดยใช้โครงสร้างดัชนีแบบลำดับชั้นภูมิ โดยทั่วไป ไฮเปอร์เท็กซ์จะเป็นฐานข้อมูลที่มีดัชนีสืบค้นแบบเดินหน้า ถอยหลัง และบันทึกร่องรอยของการสืบค้นไว้ โปรแกรมที่ใช้ในการสร้างไฮเปอร์เท็กซ์มีเป็นจำนวนมาก ส่วนโปรแกรมที่มีชื่อเสียงได้แก่ HTML Compossor FrontPage Marcromedia DreaWeaver เป็นต้น ปัจจุบันเราใช้วิธีการสืบค้นข้อมูล เพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ประกอบในการทำเอกสารรายงานต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว
การสืบค้นข้อมูล
การสืบค้นข้อมูล (Search Engine) ปัจจุบันได้มีการกล่าวถึงระบบการสืบค้นข้อมูลกันมาก แม้แต่ในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ก็มีการประยุกต์ใช้ไฮเปอร์เท็กซ์ในการสืบค้นข้อมูล จนมีโปรโตคอลชนิดพิเศษที่ใช้กัน คือ World Wide Web หรือเรียกว่า www. โดยผู้ใช้สามารถเรียกใช้โปรโตคอล http เพื่อเชื่อมโยงเข้าสู่ระบบไฮเปอร์เท็กซ์ ซึ่งเป็นฐานข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ไฮเปอร์เท็กซ์มีลักษณะเป็นแบบมัลติมีเดีย เพราะสามารถสร้างเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ที่เก็บได้ทั้งภาพ เสียง และตัวอักษร มีระบบการเรียกค้นที่มีประสิทธิภาพ โดยใช้โครงสร้างดัชนีแบบลำดับชั้นภูมิ โดยทั่วไป ไฮเปอร์เท็กซ์จะเป็นฐานข้อมูลที่มีดัชนีสืบค้นแบบเดินหน้า ถอยหลัง และบันทึกร่องรอยของการสืบค้นไว้ โปรแกรมที่ใช้ในการสร้างไฮเปอร์เท็กซ์มีเป็นจำนวนมาก ส่วนโปรแกรมที่มีชื่อเสียงได้แก่ HTML Compossor FrontPage Marcromedia DreaWeaver เป็นต้น ปัจจุบันเราใช้วิธีการสืบค้นข้อมูล เพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ประกอบในการทำเอกสารรายงานต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว
คำแนะนำในการใช้ Google
การวิเคราะห์เว็บไซต์ โดยใช้ Google Analytics แบบง่ายๆ
การวิเคราะห์ Website หรือที่เรียกว่า Web Analytics นั้น ก็คือการที่เราเอาข้อมูลของผู้ที่เข้ามาดู Website ของเรา นำมาศึกษา หรือว่าวิเคราะห์ดูต่อว่า เมื่อคนเหล่านั้นได้เข้ามาอ่าน หรือว่าเข้ามาใน Website ของเราแล้วเนี่ย พวกเค้าทำอะไรกัน ตัวอย่างง่ายๆ เช่น เราสามารถที่จะรู้ได้ว่า พวกเค้าใช้เวลาเท่าไหร่ในการอ่านเนื้อหาของ Website ของเราในแต่ละหน้า (Average Time On Page) หรือว่าเวลาทั้งหมดที่พวกเค้าอยู่ใน Website ของเรา หรือดูว่าคนเหล่านั้นหลังจากที่ได้เข้ามาที่หน้าแรกของเรา แล้วเค้าไปที่หน้าอื่นของเราอีกหรือเปล่า (Path Analysis) ซึ่งนี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ในการที่ Web Analytics สามารถช่วยเราตอบโจทย์เหล่านี้ได้
Google Analytics Logoในปัจจุบันก็มี Web Analytics Tools หลายๆ ตัวที่ออกมาให้เราได้ใช้กัน แต่ผมเชื่อว่าตอนนี้ คงไม่มีใครไม่รู้จัก Google Analytics กันนะครับ ซึ่ง PCCompete! ของเราก็ใช้ Google Analytics เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการวิเคราะห์ Website ของเราเหมือนกัน เหตุผลที่เราใช้ Google Analytics ก็ง่ายๆ นะครับ คือว่า 1) เราไม่ต้องเสียเงินในการที่จะใช้ Google Analytics 2) ง่ายมากๆ เพียงแค่ใส่ Google Analytics Tracking Code 3) Google Analytics มี Reports ให้เราได้ดูกันเยอะแยะมากมายเลยทีเดียว
Google Analyticsแต่ปัญหาที่คนส่วนใหญ่มักจะเจอก็คือ เมื่อมี Reports เยอะแยะมากมายขนาดนี้แล้ว พวกเราจะดูหรือว่าทำความเข้าใจกับพวกมันได้ยังไงหมด แล้วก็เราจะเอา Reports ต่างๆ เหล่านี้มาช่วยในการตัดสินใจในการทำธุรกิจ Online หรือว่าช่วยในการพัฒนา Website ของเราได้ยังไง ผมก็เลยอยากจะสรุปให้ทุกคนได้ลองอ่านกัน รวมถึงพูดถึง Reports ที่สำคัญๆ ที่อยากให้ทุกคนได้เข้าไปดู แล้วก็ทำการวิเคราะห์ Website ของแต่ละคนกันต่อไป แต่ว่าก่อนที่เราจะเข้าไปดู Reports ของแต่ละคนใน Google Analytics นั้น ผมอยากแนะนำให้ทุกคนลองคิดดูกันก่อนว่า ที่เรามี Website ของเรานั้น วัตถุประสงค์ของ Website เรานั้นคืออะไร? เพราะว่าถ้าเรามีวัตถุประสงค์ หรือว่ามีโจทย์มาให้เราได้คิดก่อนแล้ว เราก็จะสามารถที่จะดู Reports ต่างๆของเราในทีหลังได้
ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์หรืออีเมล์เริ่มมีขึ้นในปี ค.ศ. 1971 โดยนาย Roy Tomilison เป็นผู้คิดค้นซอฟต์แวร์ที่ใช้การรับ-ส่งข้อมูลในรูปแบบของอีเมล์ขึ้นมาได้เป็นคนแรก ซึ่งขณะนั้นทำงานอยู่ที่ Bolt Beranek and Newman(BBN) โดยที่เขาคงไม่คาดคิดว่าการรับส่งอีเมล์จะได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบต่าง ๆ ไหจากเดิมเป็นอันมากเช่นในปัจจุบัน
ด้วยการใช้ซอฟต์แวร์ดังกล่าว บรรดาวิศวกรของ BNN สามารถส่งข้อความไปยังคน
อื่นๆ ได้ โดยข้อความที่ส่งออกไปนั้นจะถูกเก็บไว้ใน Mailbox ของผู้รับ แต่ดู
เหมือนว่าประโยชน์การใช้งานนั้นยังมีไม่มากนักเพราะข้อจำกัดในการใช้งาน ในส่วนของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ส่งข้อความและใช้ในการเปิดอ่านจาก Mailbox นั้นจะต้องเป็นเครื่องเดียวกัน
หลังจากนั้น Tomlison ได้ใช้ปรับปรุงการทำงานของระบบ โดยทดลองใช้กับโปรโตคอลที่มีชื่อว่า CYPNET ที่ยินยอมให้มีการส่งและรับไฟล์จากเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่งที่อยู่ภายใน BBN ซึ่งการทำงานดังกล่าวมีลักษณะเหมือนกับคุณสมบัติของระบบเน็ตเวิร์คของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ที่มีชื่อว่า "ARPANET" ที่ได้พัฒนาระบบนี้ขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้ว
Tomlison ได้ทำการเชื่อมโยง SNDMSG และ CYPNET เข้าด้วยกัน โดยอาศัยคุณสมบัติของ ARPANET เพื่อให้สามารถรับส่งข้อความระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์หลาย ๆ เครื่องภายใน BBN ได้
โดยการพัฒนาขั้นถัดมาของ Tomlison ก็คือ การจำแนกว่าข้อความที่ส่งนั้น มาจากเน็ตเวิร์ควงใดและให้สามารถรับ-ส่งข้อความจากเน็ตเวิร์ควงอื่น ๆ เพื่อการใช้งานร่วมกันจากทุกเน็ตเวิร์ค โดยการใช้งานสัญลักษณ์ @ ขึ้นมาเพื่อใช้จำแนกวงเน็ตเวิร์ค
ต่อมา Tomlison ได้คิดค้นซอฟต์แวร์ SNDMSG เวอร์ชั่นใหม่ขึ้นมาเพื่อให้กลุ่ม
ผู้ที่ไม่ได้ทำงานใน BBN ได้ใช้งาน โดยซอฟต์แวร์ดังกล่าวช่วยให้สามารถส่งข้อความต่าง ๆ ข้ามเน็ตเวิร์คได้ ทำให้ได้รับความนิยมอย่างสูง และมีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว 70 - 75เปอร์เซ็นต์ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น
ข้อดีของ E-mail
• ประหยัดเวลา
• ประหยัดเงิน
• สามารถส่งในรูปแบบมัลติมีเดียได้
• สามารถแนบไฟล์ที่เป็นเอกสารส่งได้
• สามารถส่งต่อข้อมูลหรือที่เรียกว่า forward ได้
ข้อจำกัดของ E-mail
• ไม่สามารถเข้าถึงบุคคลได้ทุกคน
• ไม่ได้รับต้นฉบับซึ่งควรค่าแก่การเก็บรักษา
• อาจมีไวรัสมาพร้อมกับเอกสารที่ส่งมา
• ถ้าเครือข่ายล่ม ทำให้การส่งหรือรับข้อมูลล้มเหลว
• ถ้าข้อมูลใน mail box เต็มก็ไม่สามารถรับข้อมูลอื่นได้
ประเภทของไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในปัจจุบัน
อีเมล์จากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP)
คือ อีเมล์ที่มีแถมมาให้ควบคู่กับการสมัครใช้บริการอินเทอร์เน็ตของบริษัทผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) ซึ่งเป็นการให้บริการกับลูกค้าที่สมัครใช้บริการ ซึ่งเป็นการเพิ่มคุณค่าของสินค้าและเป็นอีกช่องทางในการที่จะโฆษณาการให้บริการ และจัดส่งข้อมูลข่าวสารไปถึงสมาชิกที่สมัครใช้บริการได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเมื่อสมัครแล้วทางศูนย์จะให้อีเมล์แอดเดรสกับสมาชิก
เช่น ploy241@ksc.net ซึ่งก็คืออีเมล์ที่บริษัทผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต KSC แจกให้กับสมาชิก เป็นต้น
อีเมล์จากหน่วยงาน
อีเมล์จากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP)
คือ อีเมล์ที่มีแถมมาให้ควบคู่กับการสมัครใช้บริการอินเทอร์เน็ตของบริษัทผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) ซึ่งเป็นการให้บริการกับลูกค้าที่สมัครใช้บริการ ซึ่งเป็นการเพิ่มคุณค่าของสินค้าและเป็นอีกช่องทางในการที่จะโฆษณาการให้บริการ และจัดส่งข้อมูลข่าวสารไปถึงสมาชิกที่สมัครใช้บริการได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเมื่อสมัครแล้วทางศูนย์จะให้อีเมล์แอดเดรสกับสมาชิก
เช่น ploy241@ksc.net ซึ่งก็คืออีเมล์ที่บริษัทผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต KSC แจกให้กับสมาชิก เป็นต้น
อีเมล์จากหน่วยงาน
คือ อีเมล์ที่องค์กรออกให้เพื่อให้บุคลากรภายในองค์กรได้ใช้ติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่น ๆ ทั้งภายในและภายนอกองค์กร ซึ่งบุคลากรในหน่วยงานนั้น ๆ จะได้รับอีเมล์แอดเดรสของตนเองจากการสมัคหรือกำหนดให้จากผู้ดูแลระบบ เช่น ploy221@kku.ac.th คือ อีเมล์ของบุคลากรที่ชื่อ พลอยซึ่งเป็นสมาชิกในหน่วยงานมหาวิทยาลัยขอนแก่น
อีเมล์ฟรีจากเว็บไซต์
คือ อีเมล์ที่มีเว็บไซต์เปิดให้บริการรับ-ส่งอีเมล์ หรือทำหน้าที่เป็นผู้รับฝาก-ส่งจดหมายบนอินเทอร์เน็ตฟรี ซึ่งอีเมล์ฟรีเหล่านี้พบได้จากเว็บไซต์ชื่อดังมากมายบนอินเทอร์เน็ต ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบการให้บริการเว็บไซต์ค้นหาข้อมูล บริการให้พื้นที่ฟรีสำหรับการสร้างเว็บไซต์ และให้บริการอีเมล์ฟรีโดยตรง จุดประสงค์หลักเพื่อเรียกให้คนเข้ามาใช้บริการในจำนวนมาก ๆ
ซึ่งเมื่อคนเข้ามาชมและใช้บริการมาก จะทำให้เว็บไซต์นั้น ๆ ได้รับค่าตอบแทนในรูปแบบ
อื่น ๆ เช่น จากการโฆษณาที่ลงโฆษณาผ่านเว็บนั้น ๆ ผู้ให้บริการฟรีอีเมล์ชื่อดังรายใหญ่ อาทิ เช่น yahoo.com, hotmail.com, aol.com เป็นต้น
.กระดานข่าวอิเล็กทรอนิกส์
กระดานข่าวอิเล็กทรอนิกส์ (อังกฤษ: Bulletin Board System) หรือ บีบีเอส (BBS) เป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่รันซอฟต์แวร์ที่อนุญาตให้ผู้ใช้หลาย ๆ คน ใช้คอมพิวเตอร์และโปรแกรมเทอร์มินัลติดต่อเข้าไปในระบบ ผ่านทางโมเด็มและสายโทรศัพท์. โดยในระบบจะมีบริการต่าง ๆ ให้ใช้ เช่น ระบบส่งข้อความระหว่างผู้ใช้ (คล้าย จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ในอินเทอร์เน็ตปัจจุบัน แต่รับส่งได้เฉพาะภายในระบบเครือข่ายสมาชิกเท่านั้น) ห้องสนทนา บริการดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ และกระดานแจ้งข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เป็นต้น
บีบีเอสส่วนใหญ่เปิดให้บริการฟรี โดยสมาชิกจะสามารถเข้าใช้ระบบได้แต่ละวันในระยะเวลาจำกัด บีบีเอสมักจะดำเนินการในรูปของงานอดิเรกของผู้ดูแลระบบ หรือที่เรียกกันว่า ซิสอ็อป (SysOp จากคำว่า system operator)
บีบีเอสส่วนในเมืองไทยมีขนาดเล็ก มีคู่สายเพียง 1 หรือ 2 คู่สายเท่านั้น บางบีบีเอสยังอาจเปิดปิดเป็นเวลาอีกด้วย บีบีเอสขนาดใหญ่ที่ได้รับความนิยมมากในสมัยก่อนได้แก่ ManNET ซึ่งมีถึง 8 คู่สายและเปิดบริการตลอด 24 ชม. ManNET ดำเนินการโดยแมนกรุ๊ป ผู้จัดทำนิตยสารคอมพิวเตอร์รายใหญ่ในยุคนั้น. นอกจากนี้ยังมีบีบีเอส CDC Net ของ กองควบคุมโรคติดต่อ (กองควบคุมโรค ในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นบีบีเอสระบบกราฟิกรุ่นบุกเบิกของประเทศไทย
ในปัจจุบัน บีบีเอสมีบทบาทน้อยลงไปมาก เนื่องจากความแพร่หลายและข้อได้เปรียบหลายประการของ อินเทอร์เน็ต และ เวิลด์ไวด์เว็บ. ในประเทศญี่ปุ่น คำว่า บีบีเอส อาจจะใช้เรียกกระดานข่าวอิเล็กทรอนิกส์บนอินเทอร์เน็ตด้วย. แต่สำหรับเมืองไทยแล้ว นิยมเรียกกระดานข่าวเหล่านี้ว่า เว็บบอร์ด มากกว่า
ห้องสมุด แหล่งข้อมูลความรู้
ห้องสมุด คือแหล่งสารนิเทศ บริการทรัพยากรสารนิเทศในรูปแบบต่างๆ เช่น หนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ จุลสาร กฤตภาค วัสดุเทป และโทรทัศน์ CD-ROM DVD VCD โดยมีบรรณารักษ์เป็นผู้ดำเนินงาน และบริหารงานต่างๆ ในห้องสมุด โดยจัดระบบเป็นหมวดหมู่ และระเบียบเรียบร้อย เพื่อให้ผู้ใช้ห้องสมุดมีความสะดวกสืบค้นได้ง่ายและตรงกับความต้องการ
ห้องสมุดในปัจจุบัน ทำหน้าที่เก็บรวบรวม จัดระบบ เพื่อให้บริการสื่อสารนิเทศต่างๆ ตลอดจนถึงเทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีทางการสื่อสาร อีกทั้งยังมีเครื่องมือในการค้นหาและดำเนินการให้บริการสื่อต่างๆ เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ใช้ห้องสมุด
ห้องสมุด ยังมีคำเรียกต่างๆ อีกมากมาย อาทิ ศูนย์ข้อมูลหนัง , ศูนย์วัสดุหนัง , ศูนย์วัสดุการศึกษาหนัง , สถาบันวิทยบริการหนังสือ ศูนย์เอกสารหนังสือ และ ศูนย์สารนิเทศ หนัง เป็นต้นความสำคัญของห้องสมุด 1. ห้องสมุดเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ และวิชาการต่าง ๆ ที่นักศึกษาสามารถค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมได้ตลอดเวลา 2. ห้องสมุดเป็นแหล่งที่นักศึกษาสามารถเลือกหาความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร ได้อย่างหลากหลาย ตามความสนใจและความต้องการของตนเอง 3. ห้องสมุดช่วยให้นักศึกษาเป็นผู้ที่ทันสมัยทันต่อเหตุการณ์ เนื่องจากข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ และวิชาการต่าง ๆ เกิดขึ้นใหม่ตลอดเวลา 4. ห้องสมุดช่วยให้นักศึกษาเกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เกิดนิสัยรักการอ่าน และการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง เกิดความรู้อันเป็นรากฐานในการค้นคว้าวิจัยสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ 5. ห้องสมุดช่วยปลูกฝังให้นักศึกษาเป็นพลเมืองดี เป็นนักประชาธิปไตย มีจรรยาบรรณรู้จักปฏิบัติตนตามกฎเกณฑ์ของสังคม มีความรับผิดชอบ รู้เท่าทันโลก
Digital Library (ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์) หมายถึง การจัดเก็บสารสนเทศในรูปของสื่ออิเล็กทรอนิกส์ แทนที่จะจัดเก็บในรูปของสื่อพิมพ์ ขณะนี้ได้เริ่มมีการใช้วิธีการเช่นนี้แล้ว แต่คงต้องรออีกนานทีเดียวกว่าที่ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์จะสามารถแทนที่ห้องสมุดแบบดั้งเดิม หรือ แม้แต่เพียงจะสามารถมีบทบาทเทียบเคียง กับห้องสมุดแบบดั้งเดิม ที่เป็นเช่นนี้เพราะมีเหตุผลหลายประการ ประการแรก สิ่งพิมพ์ที่มีอยู่แล้วมีเป็นจำนวนมาก หากจะนำมาดิจิไทซ์ (digitize) หรือแปลงเป็นสารสนเทศแบบดิจิทัล ก็ต้องลงทุนลงแรงมหาศาลประการที่สอง ผู้ใช้สารสนเทศส่วนใหญ่ในยุคปัจจุบัน ยังคุ้นเคยกับการอ่านหนังสือมากกว่าการอ่านจากจอคอมพิวเตอร์ แต่เรื่องนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อคนรุ่นใหม่ที่คุ้นเคยกับการใช้คอมพิวเตอร์มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และพัฒนาการของจอคอมพิวเตอร์ทำให้อ่านได้สบายตามากขึ้น สามารถอ่านได้ครั้งละนานๆ มากขึ้น ประการที่สาม ปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ และวิธีการจัดการกับปัญหานี้ ในกรณีที่ต้องการแปลงสิ่งพิมพ์ที่มีอยู่เป็นสารสนเทศแบบดิจิทัลเพื่อนำออกเผยแพร่ ยังไม่มีกฎหมายหรือหลักการที่เป็นสากลว่าด้วยเรื่องนี้ หากยังต้องอาศัยการตกลงกันเองระหว่างคู่กรณีเป็นรายๆ ไป ก็จะเป็นอุปสรรคอย่างใหญ่หลวง อย่างไรก็ตามการแปลงสิ่งพิมพ์เป็นสารสนเทศดิจิทัลนั้น เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำ เพื่อการอนุรักษ์สิ่งพิมพ์เก่าๆไว้เอกสารที่เป็นกระดาษนั้น หากจัดเก็บถูกวิธีอาจสามารถอยู่ได้นับพันปี เช่น เอกสารที่ทำด้วยกระดาษปาปิรัส สมัยอียิปต์หรือบาลิโลเนียยังมีหลงเหลือให้เห็นได้ตามพิพิธภัณฑ์ใหญ่ๆ ของโลก แต่ในความเป็นจริงแล้ว หนังสือหรือเอกสารที่เป็นกระดาษจะมีอายุใช้งานเพียง 100 - 200 ปีเป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น หนังสือเรื่อง The Pilgrim Kamanita ซึ่งเป็นต้นฉบับภาษาอังกฤษที่เสถียรโกศ และนาคประทีป นำมาแปลและเรียบเรียงเป็นฉบับภาษาไทย ชื่อ กามนิต วาสิฏฐี นั้น ขณะนี้เหลืออยู่ที่ The British Museum ที่กรุงลอนดอนเพียงเล่มเดียวเท่านั้น และอยู่ในสภาพถูกเก็บตาย เพราะกระดาษกรอบหมดแล้ว นำมาเปิดอ่านไม่ได้ เอกสารทำนองนี้ยังมีอีกเป็นจำนวนมาก และต้องหาวิธีอนุรักษ์ไว้ให้ได้เพราะเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่า และบางอย่างเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ วิธีอนุรักษ์วิธีหนึ่ง คือ การนำมากราดตรวจ หรือ ถ่ายภาพหน้าต่อหน้า แล้วบันทึกใส่ซีดีรอม (CD-ROM) ไว้ อย่างไรก็ตามซีดีรอมเองก็ไม่ได้มีอายุยืนยาวมากมายนัก เชื่อกันว่าสามารถจะเก็บได้นาน 30 – 50 ปี เท่านั้น แต่ถ้ามีการทำสำเนาก่อนที่ซีดีรอมแผ่นนั้นจะหมดอายุ ก็สามารถเก็บไปได้ตลอด เพราะการทำสำเนาข้อมูลดิจิทัลนั้นจะได้สำเนาที่มีคุณภาพเท่าต้นฉบับดิจิทัล ไม่มีการเสื่อมลงทุกครั้งที่ทำสำเนาเหมือนระบบอนาลอค ดังนั้น ห้องสมุดดิจิทัลจะสามารถให้บริการเอกสารสิ่งพิมพ์ต่างๆ ที่มีอายุมากๆได้
รูปแบบของเอกสารที่จัดเก็บและให้บริการในห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์นั้น ขณะนี้ยังถือว่าอยู่ในช่วงต้นของการพัฒนา ซึ่งจะยังมีการเปลี่ยนแปลงไปได้ แม้ว่าจะเริ่มมีการวางมาตรฐานกันบ้างแล้วก็ตาม รูปแบบที่ได้รับการกล่าวขานกันมากที่สุดขณะนี้ คือ อีบุ๊ค (E-book) หรือ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ กับ อีเจอร์นัล (E-journal) หรือ วารสารอิเล็กทรอนิกส์ และ อีแมกกาซีน (E-magazine) หรือนิตยสารอิเล็กทรอนิกส์ ความได้เปรียบของสื่ออิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้เหนือ สื่อสิ่งพิมพ์หลายประการ ประการแรก ต้นทุนในการจัดทำต่ำกว่า ประการที่สอง สามารถใช้สื่อประสม (Multimedia) มาประกอบได้ คือ มีได้ทั้งภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว (ทั้งที่เป็นรูปวาด รูปถ่าย และวีดิทัศน์) และเสียงด้วย ประการที่สาม สามารถมี การเชื่อมโยงข้อความหลายมิติ (Hypertext) เพื่ออธิบายขยายความ หรือ เพื่อขยายขนาดของภาพประกอบให้ใหญ่ขึ้นหรือชัดเจนขึ้น ประการที่สี่ สามารถค้นหารายละเอียดคำสำคัญต่างๆโดยใช้วิธีการของ โปรแกรมค้นหา ( Search engine) ซึ่งรวดเร็วทันใจ และมีประสิทธิภาพสูงกว่าระบบดัชนี (Index) ของหนังสือ ส่วนข้อเสียเปรียบที่สำคัญ คือ ต้องใช้คอมพิวเตอร์และใช้ไฟฟ้าในการเปิดอ่าน
ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ต่างกับห้องธรรมดาตรงที่ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ไม่จำเป็นต้องมีอาคารสถานที่ เพียงแต่มี คอมพิวเตอร์แม่ข่าย (Sever) สำหรับเก็บข้อมูล มีเครือข่าย (Network) ต่อเชื่อมไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ลูกข่าย (Clients) ที่ให้บริการ ซึ่งอาจกระจายอยู่ตราที่ต่างๆ ก็ได้ เครือข่ายนั้นจะเป็นเครือข่ายส่วนตัว Private Network หรือ Intranet) ที่ใช้ภายในองค์กรก็ได้ หรือจะเป็นเครือข่ายสาธารณะ เช่น อินเทอร์เน็ต
เครือข่ายอินเทอร์เน็ต เป็นเครือข่ายที่มีคอมพิวเตอร์แม่ข่าย ที่ติดตั้งอยู่ทั่วโลกเชื่อมโยงกันจำนวนมาก เครื่องแม่ข่ายแต่ละเครื่องมีข้อมูลข่าวสารบางอย่างบางประเภทบรรจุอยู่ เช่น ถ้าเป็นเครื่องแม่ข่ายของบริษัทผลิตรถยนต์ ก็จะมีข้อมูลเกี่ยวกับรถยนต์รุ่นต่างๆ ของบริษัทนั้นข้อมูลเกี่ยวกับการรับบริการต่างๆ จากบริษัท และอาจมีข้อมูลประเภทความรู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น ประวัติความเป็นมาและพัฒนาการของยานยนต์ เทคโนโลยีใหม่ๆ เกี่ยวกับยานยนต์ มลพิษจากไอเสียของรถยนต์และวิธีบำบัดป้องกัน วิธีการขับรถยนต์อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น หากเป็นเครื่องแม่ข่ายของบริษัทของบริษัทท่องเที่ยว ก็จะมีข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทาง ข้อมูลเกี่ยวกับการขออนุญาตเข้าประเทศต่างๆ เพื่อการท่องเที่ยว ตลอดจนเรื่องราวเกี่ยวกับวัฒนธรรมและภาษา ของประเทศนั้นๆ เป็นต้น ปัจจุบันนี้ ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้อยู่ในรูปแบบของเอกสาร ที่มีการเชื่องโยงกันภายใต้มาตรฐาน World Wide Web (หรือ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า http Hypertext Transfer Protocol) เราเรียกแหล่งข้อมูล แต่ละแห่งเหล่านี้ ว่า เป็น เว็บไซต์ (Web Site) ซึ่งแปลว่าแหล่งข้อมูลในระบบ World Wide Web นั่นเอง
เว็บไซต์ประเภท Portal หรือ Gateway หรือชุมทาง
ที่กล่าวถึงเว็บไซต์ประเภทนี้เป็นประเภทแรก เพราะเป็นประเภทที่มีประโยชน์มาก เวลาที่เราไม่แน่ใจว่าจะหาข้อมูลประเภทที่ต้องการได้จากแหล่งใด หากเราเข้าไปที่เว็บไซต์ประเภทนี้ จะพบว่าในเว็บไซต์ได้ทำจุดเชื่อโยงไปยังเว็บไซต์อื่น โดยจัดแบ่งเป็นประเภทไว้ ทำให้เราสามารถหาแหล่งข้อมูลที่ต้องการได้ง่ายขึ้น คล้ายกับการค้นหาหมายเลขโทรศัพท์ในสมุดโทรศัพท์หน้าเหลืองนั่นเอง เว็บไซต์ชุมทางที่สำคัญในประเทศไทย คือ http://www.nectec.or.th จัดทำโดย
เว็บไซต์ประเภทของการศึกษา
เว็บไซต์การศึกษาในประเทศไทย มีจำนวนมากทั้งของสถานบันอุดมศึกษา และของโรงเรียนต่างๆ เว็บไซต์ที่อาจถือได้ว่าเป็นเว็บไซต์ชุมทางประเภทการศึกษา ได้แก่
1. เว็บไซต์โครงการ SchoolInet @ 1509 (http://www.school.net.th) เป็นเว็บไซต์ชุมทางสำหรับเว็บไซต์ต่างๆ ที่เป็นสมาชิกโครงการ SchoolINet และที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาระดับต่ำกว่าอุดมศึกษา
2. เว็บไซต์ LearnOnline (http://www.learn.in.th) ของสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย (Thailand Graduate I nstitute of Science and Technology TGIST) เป็นเว็บไซต์สำหรับการเรียนรู้ด้วยตนเอง ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เน้นสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในทุกระดับการศึกษา และมีทำเนียบเชื่อมโยงไปสู่เว็บไซต์อื่น ที่ให้บริการในลักษณะเดียวกัน
เว็บไซต์วัฒนธรรมไทย http://www.culture.go.th ของ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ จัดว่าเป็นเว็บไซต์หลักในเว็บไซต์ประเภทนี้ นอกจากนี้ ข้อมูล ด้านศิลปวัฒนธรรม มักจะมีปรากฏอยู่บ้างตามเว็บไซต์ของสถานบันอุดมศึกษาต่างๆ และของภาคเอกชนที่เกี่ยวกับธุรกิจการท่องเที่ยว
เว็บไซต์ประเภทท้องถิ่น
เว็บไซต์ประเภทนี้กำลังเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว เว็บไซต์ชุมทางของประเภทนี้ ได้แก่ http://www.thaitambon.com ซึ่งเป็นที่รวบรวมเว็บไซต์ของตำบลต่างๆ ทั่วประเทศไทย เพื่อสนับสนุนโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์นอกจากนี้จังหวัดใหญ่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวก็มักจะมีเว็บไซต์ของจังหวัด และสถานบันการศึกษาทั้งระดับอุดมศึกษาและระดับโรงเรียน ก็มักจะบรรจุข้อมูลเกี่ยวกับท้องถิ่นไว้ในเว็บไซต์ของสถานบันด้วย
เว็บไซต์ประเภทวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
เว็บไซต์ของ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. (http://www.nstda.or.th) เป็นเว็บไซต์หลักสำหรับสารสนเทศ ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งมีการเชื่อมโยง ไปยังเว็บไซต์ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น เว็บไซต์ของศูนย์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ทั้งสาม ได้แก่ http://www.nectec.or.th http://www.mtec.or.th http://www.biotec.or.th และ เว็บไซต์ของหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
เว็บไซต์ของ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. (http://www.nstda.or.th) เป็นเว็บไซต์หลักสำหรับสารสนเทศ ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งมีการเชื่อมโยง ไปยังเว็บไซต์ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น เว็บไซต์ของศูนย์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ทั้งสาม ได้แก่ http://www.nectec.or.th http://www.mtec.or.th http://www.biotec.or.th และ เว็บไซต์ของหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e - Commerce) หมายถึง การทำกิจกรรมที่เกี่ยวกับการค้าขายผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ขณะนี้การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วทั่วโลก ทั้งการค้าปลีกหรือค้าส่ง การซื้อขายสินค้าหรือบริการ ในยุคโลกาภิวัตน์นี้ ทำให้ประเทศไทยสามารถค้าขาขายกับต่างประเทศได้ถึงในระดับผู้ค้าปลีก ทั้งนี้เราต้องพยายามเพิ่มขีดความสามารถ ในการแข่งขันทางการค้าด้วยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ จึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่คนไทยจะต้องเรียนให้รู้และทำให้เป็น เว็บไซต์ http://www.ecommerce.or.th ของศูนย์พัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ นับว่าเป็นเว็บไซต์ทางการที่มีหน้าที่เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ นับว่าเป็นเว็บไซต์ทางการที่มีหน้าที่เผยแพร่ความรู้เกี่ยวพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ สามารถหาดูได้จากเว็บไซต์บางแห่งของภาครัฐและภาคเอกชน เช่น http://www.moc .go.th ของกระทรวงพาณิชย์ และ http://www.depthai.go.th ของกรมส่งเสริมการส่งออกส่วน http://www.thaitrad epoint.com เป็นอีกเว็บไซต์หนึ่งที่น่าสนใจเพราะมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยให้มีโอกาสเข้าสู่พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ได้ด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น